เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยช่วงปลายปี 2019 จากประเทศเนเธอร์แลนด์ มาเริ่มต้นหางานที่ประเทศไทย ส่งรีซูเม่ไปกี่ร้อยบริษัทก็ไม่รู้ ด้วยความที่อายุก็เยอะแล้วไง ก็ยากหน่อยที่คนจะเรียกสัมภาษณ์งาน คือปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเมืองไทยของเรามีระบบแบบนี้ ส่วนมากบริษัทที่ประกาศสมัครงานคืออายุต้องน้อยๆ 23 ปี และจบใหม่ถึงอายุประมาณ 27 ปีงี้ คืออายุเกินนี้ไปคือแก่แล้วจะมาหาทำงานออฟฟิตคืออย่างน้อยก็ต้องจบการศึกษาระดับป.โทขึ้นไปและมีประสบการณ์ในการทำงานในงานที่เราไปสมัครด้วย ซึ่งเราก็จบแค่ป.ตรีเท่านั้น นึกภาพออกป่ะว่า งานคือหายากมากๆด้วย
ช่วงเดือนพฤศจิกายนปลายปี 2019 ในกทม. หรือในประเทศไทยเอง เราหางานช่วงที่ตลาดแรงงานยังไม่เปิด แต่ที่เรียกไปสัมภาษณ์ก็ให้เงินเดือนน้อยมากๆ เรื่องเงินเดือนคือไม่โอเค มันไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตอยู่กทม ด้วยแหล่ะ และมีอีกงานนึงอยู่ที่ภูเก็ตเหมือนจะได้แต่ว่า มันไม่ support เรื่องค่าที่พักให้เลย เราก็เลยไม่ตกลงงานที่ภูเก็ต
ก็พยายามหางานบริษัทแถวประเทศเพื่อนบ้าน ส่งรีซูเม่ไปหลายที่ เรียกสัมภาษณ์บ้าง ไม่เรียกบ้าง มาเจอบริษัทนี้ผ่านเว็บไซต์ Jobsdb thailand ก็ลองสมัครดูและก็ได้สัมภาษณ์และทางบริษัทก็ตกลงรับเราเข้าทำงาน เราก็ตัดสินใจอยู่ช่วงนึง คือถ้ารอไปอีกนิด ก็คือต้องอดตายแล้วอ่ะ และเราก็ไม่มีเงินสำรองไว้เลยอ่ะ เพราะการสมัครงานคือต้องใจเย็นมากๆเลย เพราะเราไม่รู้เลยว่าเราจะได้งานตอนไหน และเราก็ไม่มีทางบ้านคอย Support เรื่องเงินเลย เราเหมือนเป็นเสาหลักของครอบครัวต้องเป็นคนส่งเงินให้ครอบครัวและพ่อแม่ไง คิดหนักมากช่วงนั้นคือถ้าไม่เอางานนี้แล้วเมื่อไหร่จะได้งาน งานไม่ได้หาง่ายๆนะ แล้วที่ได้มาก็ไม่พอประทังชีวิตเราแน่ๆเลย เงินเดือนส่วนมากที่เสนอมาคือ 18,000 บาท

จากประสบการณ์ความผิดพลาดตอนกลับมาอยู่เมืองไทยช่วงปี 2018 ในขณะที่ตัวเองไม่มีเงินเก็บเลย (เหมือนเดิม) คือมันลำบากมากกว่าจะผ่านไปได้ เราเลยไม่อยากเป็นแบบเดิมแล้วไง ไม่อยากต้องขาดช่วงส่งเงินให้ที่บ้าน เพราะพ่อแม่แก่แล้ว ไม่อยากให้พ่อแม่เราไปทำงานหนัก เราอยากจะส่งเงินให้พ่อแม่ทุกเดือน เพราะท่านแก่มากแล้ว แม่ทำงานไม่ไหวแล้ว อยากให้แม่อยู่เฉยๆ เลยเอาวะ ตัดสินใจมาประเทศฟิลิปปินส์เลยละกัน ตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบิน ติดต่อตรวจร่างกาย ทำเรื่องต่างๆให้เสร็จสิ้น เสื้อผ้าก็ต้องบริจาค ของที่มีจากประเทศเนเธอร์แลนด์ก็ต้องส่งกลับบ้าน ให้เพื่อนบ้าง บริจาคบ้าง เห็นมั้ย !!! ว่าแล้วของที่ขนมาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ เสื้อผ้าหรือแม้แต่เครื่องสำอางที่โฮสต์แม่เอาให้ยังขนมาไม่ได้เลย คือน้ำหนักได้สูงสุดคือ 30 กิโล คือเราก็อยากเอากับข้าวมาด้วย เอามาม่าของกินมาด้วย แต่น้ำหนักก็ไม่พอ จะว่าไปไม่รู้ขนอะไรนักหนา
วันที่เหยียบประเทศฟิลิปปินส์ครั้งแรก วันที่ 14 ธันวาคม 2019 ก็ใช้เวลาไม่นาน ประมาณเดือนหน่อยๆ ก็เปลี่ยนโซน จากการทำงานชิวๆที่อัมสเตอร์ดัมมานั่งเป็น Happy robot ที่ประเทศฟิลิปปินส์ การทำงานและสังคมการทำงานมันแตกต่างกันสิ้นเชิง เพราะอยู่อัมสเตอร์คนที่เราสื่อสารด้วยมีแค่ไม่กี่คน สังคมเราเป็นเหมือนครอบครัวหลักๆคือมีโฮสต์แม่ พ่อและก็น้องที่เลี้ยงดู จากการเป็นออแพร์สู่การเป็นพนักงานออฟฟิศ เป็นพนักงาน เหมือน Happy robot ซึ่งมันไม่ง่ายเลยจริงๆ ถึงประสบการณ์ในการทำงานเราจะเยอะ ทั้งทางธนาคารและงานอื่นๆบลาๆ แต่เมื่อมาอยู่ประเทศใหม่ สังคมการทำงานใหม่ๆ การทำงานแบบใหม่ๆ มันก็คือการเริ่มต้นจาก 0 ดีๆนั่นเอง

ช่วงแรกคือเป็นช่วงปรับตัว ยังงงๆกับสถานการณ์รอบข้าง ฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ เนื่องจากสำเนียงแต่ละคนคือแบบแตกต่างกันมาก สำเนียงเวียดนามก็จะแปลกๆ บางทีออกเสียงไม่ถูกเลย สำเนียงฟิลิปปินส์ยิ่งแล้วใหญ่เลย ช่วงแรกมีปัญหามาก เพราะคนฟิลิปปินส์ค่อนข้างพูดเร็ว แล้วคือสำเนียงมันไม่ใช่อ่ะ กว่าจะแกะกันออกว่าเค้าพูดถึงอะไร หมายถึงอะไรคือใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนถึงเริ่มเข้าใจสำเนียงของฟิลิปปินส์กับสำเนียงคนเวียดนาม ตอนแรกเคยคิดว่าคนเวียดนามจะพูดภาษาอังกฤษเก่งแต่ถ้าเทียบกับคนไทยแล้ว ความคิดเห็นส่วนตัวคิดว่าคนไทยใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่าคนเวียดนามและฟิลิปปินส์เยอะมากเลย
เราโชคดีมากที่เจอน้องคนไทยใจดี ช่วยเหลือหลายอย่าง เพราะมาตอนแรกแทบมีเงินกินข้าวไม่ถึงเดือน น้องก็ช่วยเหลือตลอด บอกเลยว่าบริษัทที่เรามาจ่ายเงินเดือนไม่เยอะเท่ากับบริษัทอื่นๆในประเทศฟิลิปปินส์ เงินเดือนขั้นต่ำคือต่ำจริงๆ ต่ำกว่าปกติของบริษัทด้านนี้ในประเทศฟิลิปปินส์ แต่เราเลือกก็เพราะเราคิดว่าเรายังไม่มีประสบการณ์ด้านนี้และที่สำคํญเขายังให้โอกาสเรา เราก็เลยมา แต่เงินเดือนไม่เยอะ แต่เราก็ยังคิดว่าเงินเยอะกว่าที่เราจะได้ที่ประเทศไทย ยิ่งในช่วงวิกฤติโรคระบาด ไม่มีบริษัทไหนจะมาจ่ายเงินเดือนขนาดนี้หรอกนะ เราก็ต้องอดทนจริงๆ บริษัทเราก็เหมือนบริษัททั่วไปในประเทศฟิลิปปินส์คือเป็นอินเตอร์เนชัลเนล มีคนต่างชาติทำงานอยู่ด้วย มีคนจีน คนเวียดนาม คนไทยและคนประเทศฟิลิปปินส์เอง

จากวันนั้นถึงวันนี้ก็คิดว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดเพราะว่าถ้าหากอยู่เมืองไทยช่วงโรคระบาด เราก็คงตกงานแล้ว เพราะบริษัทหลายๆบริษัทในประเทศไทยก็ปิดตัวลง เลิกจ้างกันเยอะมากหรือที่ยังจ้างก็จ่ายเงินเดือนไม่เต็ม หรือขอจ่ายเงินเดือนครึ่งนึง ยกตัวอย่างจากบริษัทของเพื่อนๆเราที่ไทย ดีหน่อยแต่พวกข้าราชการมั้ยอ่ะ เงินเดือนได้เท่าเดิม แถมไม่ต้องทำงานอีก นี่แหล่ะข้อดีของการตัดสินใจเลือกบริษัทนี้และมาประเทศฟิลิปปินส์ ส่วนเรื่องของการใช้ชีวิตในช่วงโควิดที่ฟิลิปปินส์ เราจะมาเขียนในโพสต์ต่อไปนะคะ See ya

คุณคิดอย่างไร