เราตัดสินใจมาเป็นออแพร์อีกครั้งที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ หลังจากเป็นมาสองประเทศ อเมริกาและเดนมาร์ก เราได้บ้านเป็นบ้านครอบครัวอินเตอร์เนชั่นแนลมากค่ะ แม่เกิดที่ประเทศโครเอเชีย เติบโตและเรียนจบที่ประเทศเยอรมันนี เขาเลยพูดภาษาเยอรมันและมีวัฒนธรรมคล้ายกับคนประเทศเยอรมนีมากกว่าประเทศโครเอเชีย และส่วนโฮสต์พ่อนั่นเป็นคนยูเค จำไม่ได้ล่ะมาจากเวลส์ หรือเปล่านี่แหล่ะ เพราะฉะนั้นการพูดภาษาในบ้านจึงใช้ภาษากันเป็น 3 ภาษา ภาษาอังกฤษ พ่อจะพูดกับลูกเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แม่จะพูดกับลูกภาษาเยอรมันหรือโครเอเชียน ส่วนน้องจะได้ภาษาดัตซ์มาจากโรงเรียนหรือคิงเดอรการ์เด้นอีกที ส่วนพี่เลี้ยงนั้นแม่ให้พูดภาษาอังกฤษกับน้อง บางครั้งแอบพูดภาษาเยอรมันกัน แต่แม่ก็ไม่ซี
การทำงานโดยทั่วไป
ง่ายๆ ก็ 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์คือไม่ได้เยอะเลย แถมหยุดวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย พ่อทำงานที่เยอรมนี กลับมาบ้านตั้งแต่คืนวันพฤหัสบดี เพราะฉะนั้นวันศุกร์คืองานเราจะเบาแล้ว เพราะไม่ต้องตื่นแต่เช้าปกติก็ตื่นไม่เช้านะ เพราะว่าเริ่มทำงานประมาณตอน 7.20 น. พาน้องแต่งตัว ทานข้าวและเตรียมตัวไปส่งน้องที่โรงเรียน ตอนประมาณตอนบ่ายสี่โมงเย็นก็ไปรับน้อง แปลว่าช่วงระหว่างวันเป็นช่วงที่เราว่างงาน แต่โฮสต์ให้ดูดฝุ่นบ้าน อาทิตย์ละ 2 วัน แต่ไม่ได้ทำความสะอาดนะ เพราะว่ามีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ อาทิตย์ละ 1 ครั้งอยู่แล้ว แม่บ้านมาทำความสะอาด รีดผ้าให้โฮสต์ แล้วก็จัดเตียงนอนให้เราด้วยคือดีมาก เราแค่ต้องดูดฝุ่น เพราะบางครั้งฝุ่นเยอะมาก ฝุ่นจากน้องไปโรงเรียนกลับมา บ้านนี้ค่อนข้างรักความสะอาดมากๆ ตัวน้องเองยังต้องทำความสะอาดตลอดเวลา ห้ามให้มีน้ำมูกไหล หรือถ้าเปื้อนต้องเช็ดให้น้องตลอด เราต้องพกทิชชู่ตลอด พาล้างมือตลอด ตอนแรกคิดว่าเหมือนคนบ้า พออยู่นานๆไปเริ่มชิน เริ่มคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่ควรทำมากๆเพื่อสุขอนามัยของตัวเราเองและคนรอบข้าง
คือช่วงเเรกก็ต้องปรับตัวประมาณ 2-3 เดือนก็เข้าที่ เราก็ไปรับไปส่งน้องคนเดียวได้แล้วเพราะโรงเรียนอยู่ใกล้ๆเอง ตอนแรกๆแม่อยากไปส่งน้องด้วยตลอดเพราะกลัวน้องร้อง เพราะเราเป็นออแพร์คนแรกของบ้าน แม่ยังไม่ไว้ใจ ยังระแวงหลังจากนั้นหรอ ค้างที่อื่นแล้วให้ลูกอยู่กับเรายังได้จ้า แต่เวลามันผ่านไปเร็วมากจริงๆ หรือเพราะเหมือนเราได้ใช้ชีวิตไปทุกวัน ตามเวลาของมัน มันก็มีแบบรู้สึกเบื่อ รู้สึกอึดอัดบ้าง เพราะอยู่บ้านคนอื่นอ่ะเนอะ

นิสัยใจคอของโฮสต์
นิสัยของโฮสต์แม่เป็นคนเยอะหรือสมบูรณ์แบบ ไม่มีที่ติ เพิ่งรู้ตอนหลังก็เยอะเหมือนฉันนี่แหล่ะ แต่แม่เป็นคนชอบเอาใจ มีความใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ชอบเอาเครื่องสำอางมาให้ วันหยุดซื้อขนมเผื่อตลอด ให้พ่อซื้อดอกไม้มาเผื่อเราตลอด จัดดอกไม้เผื่อให้เราไปไว้ในห้องนอนเราด้วย
นิสัยของโฮสต์พ่อ เป็นผู้ชายที่รักความสมบูรณ์แบบเช่นกัน แต่จะไม่เครียดเท่าแม่ โฮสต์พ่อยังมีชิวๆ บ้างแต่โดยรวมจะนิสัยคล้ายๆกัน แต่การตัดสินใจทุกอย่างยกให้แม่หมดเลย นิสัยโฮสต์พ่อก็ดีมาก ดูแลเทคแคร์ทั้งแม่ทั้งลูกดีมากนะ
มีเหตุการณ์แม่เป็นลมชัก เลือดตกยางออก นี่โฮสต์พ่อแทบช็อค เราเห็นเหตุการณ์ โฮสต์พ่อรักโฮสต์แม่มากจริงๆ คือไม่แปลกใจเลยที่ทั้งสองคนนี้อยู่กันได้และไม่ค่อยมีเรื่องทะเลาะกันเลย แทบไม่เคยเห็นทะเลาะกัน
พอคืนวันศุกร์ก็นั่งดื่มกัน ดูหนังกันน่ารักมาก

เจ้าตัวเล็ก
นิสัยของน้อง จะคล้ายๆใครดีล่ะ เอาแต่ใจเพราะเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน ถ้าอยู่กับพ่อก็จะอีกแบบ จะชิวๆ อยู่กับแม่ก็จะอีกแบบนึง อยู่กับแม่นี่จะแบบดราม่าควีนส์มาก ทำตัวแบบเอาแต่ใจสุดๆนะตอนนั้น แต่ตอนหลังน้องก็เริ่มโอเค เพราะเริ่มโตขึ้นแล้ว รู้เรื่องเยอะเลย
ไทม์ไลน์ 6 เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก
- เราย้ายมาอัมสเตอร์ดัม ต้นเดือนพฤศจิกายน 2018
- กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2019 เพื่อนที่เดนมาร์ก ที่เป็นออแพร์ คนฟิลิปปินส์ 2 คนมาเยี่ยมก็พาทัวร์รอบๆอัมสเตอร์ดัม
- เดือนมีนาคม 2019 ไปทริปเมือง The hague
- สิ้นเดือนมีนาคม 2019 โฮสต์พาไปทำงานด้วยที่เมือง Dusseldorf ประเทศเยอรมนี
- เดือนเมษายน 2019 มีเพื่อนที่เคยเป็นออแพร์ด้วยกันที่เดนมาร์กมาเยี่ยมและไปเที่ยวสวนทิวลิปด้วยกันที่ Keukenhof เป็นเพื่อนคนฟิลิปปินส์ 2 คนอีกแล้วจ้า
ต้นเดือนมิถุนายน 2019 เพื่อนสมัยเรียนด้วยกันก็มาเยี่ยม เป็นคุณแม่ลูกสามไปแล้วนะจ๊ะได้กลับไปเยี่ยมบ้านเด็กที่เดนมาร์กตอนต้นเดือนมิถุนายน 2019 และได้เจอเพื่อนๆพี่ๆที่เดนมาร์ก เจอเพื่อนที่เคยเรียนภาษาเดนิชมาด้วยกัน เพื่อนคนเนปาล เรียนภาษาเดนิชมาด้วยกันช่วงหนึ่ง เพื่อนตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ประเทศเดนมาร์กเลยเพราะสามีเพื่อนได้วีซ่า ได้ซิติเซ่นที่นี่แล้ว เขาได้วีซ่าเป็นคนอพยพเข้ามาเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว คือโชคดีมากๆ สามีเพื่อนก็เป็นคนเนปาลเหมือนกัน อายุไล่เลี่ยกัน เพื่อนพาขับรถเที่ยวเดนมาร์ก 1 วันและก็พาไปทะเล แล้วก็ทำอาหารให้กินกันคือสนุกมาก
หลังจากกลับมาจากโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก หลังจากนั้นก็ไปเที่ยวเมืองใกล้ๆในประเทศเนเธอร์แลนด์อีก ชื่อเมือง Rotterdam ไปก็ได้เพื่อนเพิ่มอีก 3 คน เป็นนักศึกษาวิชากฎหมาย มาแลกเปลี่ยนที่อัมสเตอร์ดัม
หลังจากนั้นประมาณเดือนสิงหาคม น้องที่รู้จักจากไทยก็มาเที่ยวยุโรปพอดีก็พาทัวร์อัมสเตอร์ดัมและไปเที่ยวเบลเยี่ยมด้วยและเราก็ไปต่อที่เมือง Brugge ประเทศเบลเยี่ยม น้องก็ไปทัวร์ยุโรปต่อ พอหลังจากสิงหาคมก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย รอเก็บเงินกลับประเทศไทยอย่างเดียว ระหว่างนั้นก็มีทัวร์ในอัมสเตอร์ดัมเรื่อยๆ แต่เวลามันก็ผ่านไปแปปๆเอง หมดไปแล้ว 1 ปีที่เป็นออแพร์อยู่อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์

การใช้ชีวิตทั่วไป
จะบอกยังไงเมืองนี้เป็นเมืองที่ไม่เหงา เป็นเมืองที่มีครบ มีทุกอย่างสะดวกสบายไม่ต้องคิดถึงอาหารไทย อาหารเอเชีย ถ้าหิวก็ไปเดินขึ้นรถไฟไปในเมือง หรือถ้าขยันหน่อยก็ปั่นจักรยานไปในอัมสเตอร์ดัม 15 นาที พ่อซื้อจักรยานมือสองใน 1 คัน 250 ยูโรจ้า (มือสองยังแพง อย่าถามถึงมือหนึ่งเลยจ้า) อีกอย่างคือดอกไม้สวย เดินไปทางไหนก็เจอดอกไม้
การเดินทางก็คือแปปเดียว คือสะดวกทุกอย่าง รวมถึงการเดินทางที่แสนจะง่ายดาย เดินไปในอัมสเตอร์ดัมใช้เวลาแค่ไม่ถึง ครึ่งชั่วโมง ถ้าเดินโง่ๆไปเรื่อยๆ คือทางตรงอย่างเดียวเดินจากบ้านไป ทุกอย่างในอัมสเตอร์ดัมคือเหมาะมากสำหรับเป็นเมืองท่องเที่ยว หาประสบการณ์ หาเพื่อนใหม่ มันเป็นเมืองที่ครบรส ไปไหนมาไหนในยุโรปคือสะดวกมากมาย แต่ค่าเครื่องบินจากอัมสเตอร์ดัมจะแพงหน่อย ก็เพราะเป็นประเทศที่เจริญอันดับต้นๆ และสนามบินติดอันดับโลกก็คงเป็นแบบนี้เลยทำให้ ค่าตั๋วแพง แต่ถ้าค่าตั๋วแพงก็เลือกใช้การเดินทางแบบอื่นๆก็ได้ค่ะ เพราะมีทั้งรถไฟระหว่างประเทศ บริการรถบัสระหว่างประเทศราคาย่อมเยา แต่อาจจะใช้เวลานั่งนานไปหน่อยค่ะ
ตอนที่ไปทัวร์ประเทศต่างๆก็ใช้บริการรถทัวร์นะคะ เพราะตอนเป็นออแพร์ที่อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์เงินเดือนน้อยมากเลยค่ะ แค่ 340 ยูโรต่อเดือนคิดเป็นเงินไทยแค่ 12,500 บาทเองจ้า

พอใกล้ตอนจะกลับประเทศไทยปลายปี 2019 จริงๆนะไม่อยากกลับเลย ใจจริงคืออยากอยู่ต่อ อยากจะทำให้ตัวเองได้อยู่ต่อ แต่เรามาคิดช้าไป โฮสต์ก็ไปเอาคนอินโดนีเซียมาต่อเป็นออแพร์จากเราแล้ว เราก็คิดเสียดายอยู่ ชีวิตมันต้องดำเนินต่อไป เราจะอยู่ต่อยังไง แฟนก็ไม่มีแล้วก็ไม่อยากโดดวีซ่าเหมือนพวกฟิลิปปินส์ คือเราไม่อยากอยู่แบบผิดกฎหมาย มันไม่สะดวกใจ มันผิดอ่ะเนอะ ตอนจะวันใกล้ๆจะกลับโฮสต์ก็พาไปเลี้ยงส่งทานข้าวกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่น
โอ้ยใจหายเหมือนกันนะ อยู่กันมาตั้ง 1 ปีผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะมาก จากที่ดูเหมือนจะเข้ากันไม่ได้ หรอ กว่าจะปรับตัวให้เข้ากันได้ ใช้เวลาพอรู้สึกดี รัก ก็ต้องไปแล้ว เออ กลับไปนี้ก็ต้องใช้ชีวิตจริงๆแล้ว คือไปเป็นออแพร์ต่อไม่ได้แล้วนะคะ จะมาเฉลย เลยอายุ 31 แล้วล่ะ ไม่อยากไปต่อแคนาดาเพราะต้องใช้เงินและขั้นตอนยุ่งยากมากและไหนจะต้องใช้เวลาหาบ้านที่ใช่ที่คลิกกันอีก ไม่ใช่ง่ายๆเลย
พอวันกลับโฮสต์พ่อแม่ กับน้องมาส่งที่สนามบินทุกอย่างดูเยอะไปหมด คือของเยอะมากแล้วน้ำหนักเกิน ต้องเปลี่ยน ย้ายกระเป๋าแบบอีรุงตุงนังคือยุ่งไปหมด คือถ้าไม่มีโฮสต์ไปส่งก็คงไม่รู้จะเป็นยังไง เพราะของเยอะมาก ขนอะไรนักหนา พอสุดท้ายตอนกลับไทย ไม่ได้ใช้ของที่ขนกลับไปเลย เพราะฉะนั้น บทเรียนที่เราเรียนรู้มากที่สุดคือ อะไรที่คิดว่าจะไม่ได้ใช้แล้ว ทิ้งเถอะ บริจาคคนอื่นไปให้หมด เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะขนของกลับให้หมดให้เป็นภาระของเราเลย เพราะพอกลับเมืองไทยเราก็ต้องอยากได้อะไรใหม่ๆที่เป็นของไทย เสื้อผ้า ที่แต่งตัวตามสภาพอากาศของบ้านเรา แฟชั่นของบ้านเราอยู่แล้วนะคะ พวกเสื้อกันหนาว ก็ไม่ได้ใช้ที่ประเทศไทยอีกเลย
ตอนจะจากกัน จะลากันจริงๆคือใจสั่นมากๆ แล้วฉันจะกลับไทยแล้วเหรอเนี่ย 1 ปีที่อัมสเตอร์ดัมจริงๆเหรอเนี่ย โฮสต์แม่เริ่มร้องไห้ เราก็ร้องตาม โฮสต์พ่อมีแบบซึมๆ น้องก็ยังไม่รู้เรื่องเนอะ 2 ขวบ ใจหายมากๆคือร้องไห้กัน พอผ่าน gate เข้าไปแล้วแบบมันเศร้าแบบอย่างบอกไม่ถูก คือฉันจะกลับไทยแล้ว
พอเข้าไปส่วนตรวจคนออกประเทศ โดนตำรวจขอดูดเอกสารอีก โชคดีที่มีใบชี้แจง เพราะอยู่อัมสเตอร์ดัมวันสุดท้ายจริงๆ 1 ปีแป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน พอเสร็จจากตำรวจก็ไปนั่งรอที่ gate อีกเป็นชั่วโมงนั่งคิดอยู่ว่านี่ทำถูกแล้วหรอ ที่ไม่โดดวีซ่าหรือหาแฟนอยู่ที่นั่นซะ ทำไมมาคิดเอาตอนนี้ล่ะ ไม่ทันแล้วจะกลับเมืองไทยแล้ว เลิกเพ้อชีวิตต้องดำเนินต่อไป
